1/6/66

เหตุผล 10 อันดับแรกที่พนักงานออกจากงานและวิธีจัดการกับพวกเขา

เหตุผล 10 อันดับแรกที่พนักงานออกจากงานและวิธีจัดการกับพวกเขา

การศึกษาวิจัยล่าสุดหลายชิ้นพบว่าพนักงานออกจากงานเป็นจำนวนมากเป็นประวัติการณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตั้งแต่ปี 2010 จำนวนพนักงานที่ออกจากงานโดยสมัครใจยังคงเพิ่มสูงขึ้นทุกปี คนรุ่นมิลเลนเนียลมีจำนวนการแบ่งแยกสูง ตามด้วยคน Gen X และรุ่นเบบี้บูมเมอร์ แต่ไม่ว่าพวกเขาจะอายุเท่าไหร่ การค้นพบนี้ก็ชัดเจน ผู้คนมีแนวโน้มที่จะออกจากงานมากกว่าที่เคยเป็นมา

แต่บัญชีสำหรับสถิติเหล่านี้คืออะไร? คนทำงานมีความสุขในงานน้อยลงกว่าเมื่อ 10 ปีที่แล้วจริง ๆ หรือไม่ แม้ว่าสถานที่ทำงานจะเปลี่ยนไปในเชิงบวกมากขึ้นก็ตาม หรือเหตุผลซับซ้อนกว่านั้น?

การศึกษาเดียวกันพบว่า มีน้อยคนนักที่จะไม่มีความสุขในงานของพวกเขา และยิ่งรู้สึกว่ามีที่อื่นที่เหมาะสมกว่า ซึ่งอาจท้าทายและสนับสนุนพวกเขามากกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนรุ่นมิลเลนเนียลมีแนวโน้มที่จะเน้นการเติบโตและการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และมักพบว่าการย้ายงานเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการบรรลุเป้าหมายนี้

แม้ว่าบางครั้งการย้ายงานอาจเป็นการตัดสินใจที่ชาญฉลาดและเป็นไปในเชิงบวก แต่ก็สามารถนำเสนอความท้าทายได้เช่นกัน อาจทำให้นายจ้างและลูกจ้างมีความเครียดอย่างมากหากการหมุนเวียนของพนักงานสม่ำเสมอเกินไป นายจ้างและลูกจ้างจำนวนมากแทนที่จะดำเนินการเพื่อให้แน่ใจว่ามีความพึงพอใจในงานสูงและสามารถรักษาคนงานไว้ได้

ไม่ว่าคุณจะเป็นนายจ้าง ลูกจ้าง ผู้ประกอบอาชีพอิสระ หรือแม้แต่รวมกันทั้งหมด บทความนี้ช่วยคุณได้ เราจะพิจารณาสาเหตุหลักบางประการที่พนักงานออกจากงาน และคุณจะตอบสนองและต่อสู้กับความท้าทายที่เกี่ยวข้องได้อย่างไร


1) โอกาสที่ดีกว่า

บางทีหนึ่งในเหตุผลที่เข้าใจได้ง่ายที่สุดว่าทำไมพนักงานออกจากงาน ก็คือพวกเขามองเห็นโอกาสที่น่าตื่นเต้นกว่าที่อื่น นี่อาจหมายถึงการได้รับค่าจ้างที่ดีขึ้น โอกาสในการเลื่อนตำแหน่งมากขึ้น การฝึกอบรมเกี่ยวกับงานที่ดีขึ้น และอื่นๆ อีกมากมาย

วิธีที่ดีในการต่อสู้กับปัญหานี้ คือการใช้โอกาสในการฝึกอบรมในที่ทำงาน หรือการสื่อสารอย่างสม่ำเสมอระหว่างนายจ้างและพนักงานเกี่ยวกับโอกาสในการเติบโตหรือความรับผิดชอบที่มากขึ้น


2) แสวงหาความยืดหยุ่นมากขึ้น

พนักงานจำนวนมากพยายามสร้างสมดุลระหว่างความรับผิดชอบในการทำงานกับชีวิตครอบครัว และในปัจจุบันมีความคาดหวังที่สูงขึ้นเกี่ยวกับการบรรลุ 'สมดุลชีวิตการทำงาน' ที่ยอดเยี่ยม พนักงานหลายคนออกจากงานเพราะชั่วโมงไม่เหมาะหรือไม่เข้ากับคนง่าย และพวกเขาต้องการความยืดหยุ่นมากขึ้น

การอภิปรายเพิ่มเติมเกี่ยวกับความยืดหยุ่น รวมถึงการเสนอโอกาสในการทำงานทางไกลหรือจากที่บ้านสามารถช่วยต่อสู้กับปัญหานี้ได้ อาจเป็นประโยชน์อย่างยิ่งเมื่อพยายามลดจำนวนการขาดงานหรือวันลาป่วยที่ต้องดำเนินการ


3) รู้สึกไม่ได้รับการชื่นชม

เหตุผลนี้อาจวัดได้ยากกว่า แต่ก็ยังมีการรายงานเป็นประจำว่าเป็นเหตุผลในการออกจากงาน เมื่อพนักงานรู้สึกว่าผลงานของพวกเขาถูกมองข้าม หรือพวกเขาไม่ได้รับคำชมและการยอมรับเพียงพอ ความพึงพอใจในงานของพวกเขา — และแม้แต่คุณค่าในตนเอง — อาจได้รับผลกระทบ

นายจ้างกำลังต่อสู้กับสิ่งนี้โดยการพัฒนาวิธีการให้รางวัลแก่พนักงาน เช่น การเสนอสิ่งจูงใจ ความท้าทาย หรือแม้แต่รางวัล ในระดับจุลภาค นายจ้างที่ชมเชยพนักงานและขอบคุณสำหรับผลงานของพวกเขาเป็นประจำ มีแนวโน้มที่จะรักษาพนักงานที่มีความสุขไว้


4) ขาดข้อเสนอแนะ

คนงานหลายคนพบว่าการขาดการสื่อสารในงานของพวกเขาทำให้พวกเขามองหางานอื่นในไม่ช้า การขาดความคิดเห็นในบทบาทอาจหมายความว่าพวกเขาไม่ค่อยได้ยินว่าพวกเขาทำได้ดีในบทบาทนี้หรือทำงานได้ไม่ดี ในขณะที่การไม่มีการตรวจสอบประสิทธิภาพเป็นประจำอาจทำให้พนักงานเสียโอกาสในการแสดงความคิดเห็นของตนเอง

เมื่อการสื่อสารรู้สึกเหมือนเป็น 'ถนนสองทาง' ซึ่งมีโอกาสทั้งให้และรับคำติชม นายจ้างและลูกจ้างมักจะรู้สึกพึงพอใจมากกว่า


5) วัฒนธรรมการทำงานเชิงลบ

การกลั่นแกล้งในที่ทำงานหรือพฤติกรรมการพูดจาหยาบคายจะได้รับการตรวจสอบและจัดการอย่างรอบคอบในที่ทำงานที่ดีที่สุด แต่อาจร้ายกาจและยากต่อการสังเกต เมื่อพนักงานออกจากงานเนื่องจากวัฒนธรรมการทำงานเชิงลบ บ่อยครั้งอาจเป็นเพราะพฤติกรรมนั้นยากที่จะรายงาน

ตรวจสอบให้แน่ใจว่ามีการติดต่อสื่อสารแบบเปิด - พร้อมการรักษาความลับหากจำเป็น - สามารถเป็นกุญแจสำคัญในการต่อสู้กับสิ่งนี้ กิจกรรมการสร้างทีม การเข้าสังคม และการส่งเสริมบรรยากาศที่เอื้ออาทรและให้ความเคารพยังเป็นสิ่งสำคัญสำหรับความสุขและการรักษาพนักงาน


6) งานไม่เหมาะสม

พนักงานหลายคนเปลี่ยนงานเพราะเมื่อได้รับตำแหน่งแล้ว พวกเขาพบว่าทักษะไม่ตรงกันและงานไม่เหมาะสม อาจเป็นเพราะงานไม่ได้รับการโฆษณาอย่างละเอียดเพียงพอ พวกเขาไม่ได้รับการสัมภาษณ์อย่างละเอียดเพียงพอ หรือพวกเขาไม่ได้จับคู่อย่างระมัดระวังเพียงพอ

นายจ้างจำนวนมากขึ้นกำลังต่อสู้กับสิ่งนี้โดยใช้ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดหางานและบริษัทต่างๆ เช่น Profile Resourcing ซึ่งสามารถระบุผู้สมัครที่ดีที่สุดได้ตั้งแต่ช่วงแรกๆ ซึ่งจะช่วยลดโอกาสในการว่าจ้างที่ไม่เหมาะสมให้เหลือน้อยที่สุด


7) เป้าหมายการทำงาน

สภาพแวดล้อมการทำงานที่สว่าง สะอาด และน่าอยู่ซึ่งส่งเสริมการสื่อสารและการทำงานร่วมกันสามารถเป็นประโยชน์ในการรักษาพนักงานได้เช่นกัน ไม่น่าเป็นเหตุผลหลักที่พนักงานออกจากงาน แต่พื้นที่ทำงานที่ไม่สวยงามสามารถมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจได้


 8) ขาดเสถียรภาพ

งานจำนวนมากมีประปรายโดยธรรมชาติของพวกเขาเอง การทำงานเป็นกะ ชั่วโมงไม่ปกติ หรือโครงการอิสระอาจรู้สึกไม่มั่นคงบ้าง แต่มีวิธีที่พนักงานสามารถช่วยให้ความรู้สึกมั่นคงได้

แม้แต่การสื่อสารที่ตรงเวลาและตรงไปตรงมา การรับรู้ถึงกำหนดการที่ไม่ปกติ และความพยายามที่จะทำให้งานด้านอื่นๆ มั่นคง ล้วนแต่มีส่วนช่วยในเชิงบวก


9) ขาดการเติบโต

พนักงานมักต้องการโอกาสที่จะเติบโตและพัฒนาอย่างมืออาชีพ แต่ก็สามารถขยายไปถึงความคิดเห็นของพวกเขาที่มีต่อบริษัทได้เช่นกัน พนักงานมีแนวโน้มที่จะอยู่ในบทบาทมากขึ้นเมื่อพวกเขาเชื่อว่าบริษัทกำลังเติบโต พัฒนา และขยายตัว

นี่อาจไม่ได้หมายถึงการรับลูกค้ามากขึ้นหรือการสร้างผลิตภัณฑ์มากขึ้น แต่อาจหมายถึงว่าบริษัทมีแนวทางที่ก้าวหน้าและแสวงหาโอกาสในการปรับปรุงอยู่เสมอ บริษัทที่พนักงานมองว่ามีความยืดหยุ่น ก้าวหน้า และแสวงหาโอกาสใหม่ๆ มีแนวโน้มที่จะรักษาพนักงานในปัจจุบันได้ดีกว่า


 10) แสวงหาความท้าทาย

พนักงานส่วนใหญ่มักออกจากงานปัจจุบันเพราะกำลังมองหาความท้าทายใหม่ แต่นายจ้างสามารถช่วยจัดหาสิ่งนี้ในบทบาทปัจจุบันของพวกเขา

ด้วยการสื่อสารอย่างสม่ำเสมอและการสนทนาอย่างตรงไปตรงมา สามารถสร้างความท้าทายผ่านการฝึกอบรมเพิ่มเติม ความรับผิดชอบที่มากขึ้น การสร้างบทบาทและตำแหน่งใหม่ และอื่นๆ เมื่อพนักงานรู้สึกท้าทาย พวกเขามักจะผลักดันตัวเองให้ทำงานได้ดีขึ้น โดยให้คุณค่าที่มากขึ้นทั้งต่อตนเองและนายจ้าง

ความรู้สึกถึงความสำเร็จ ความมั่นใจ และความพึงพอใจในงานที่มาจากการถูกท้าทายมากขึ้น หมายความว่าพนักงานมีแนวโน้มที่จะอยู่ในบทบาทนั้นมากขึ้น


  ใช้แบบประเมินความผูกพันธ์องค์กรของ SurveyCan เพื่อวัดผล ได้ที่ www.SurveyCan.com


20/8/62

แนะนำระบบโปรแกรมประเมินพนักงาน 360 องศา

ทางบริษัท ลิทเทิล บิ๊ก ลิงค์ส จำกัด ผู้ให้บริการแบบสอบถามออนไลน์อันดับ 1 ของประเทศไทย ทางบริษัทมีเครื่องมือช่วยเหลือท่านขออนุญาติมานำเสนอ
ขอนำเสนอระบบการประเมินพนักงาน 360 องศา เป็นเครื่องมือประเมินวัดการทำงานของบุคลากรจากพฤติกรรมการทำงานพื้นฐานรอบด้านของบุคลากรในองกรของท่าน ระบบสามารถรองรับการประเมินแบบ 180/270 และ 360 องศา

ดูรายละเอียดที่เว็บ surveycan360.com ระบบประเมิน360องศา 






แนะนำระบบ

บริษัท และองค์กร มีความจำเป็นที่จะต้องมีเครื่องมือวัดการทำงานของบุคลากรที่มีพื้นฐานมาจากพฤติกรรมการทำงานจริง ๆ การประเมินโดยผู้บังคับบัญชาหรือหัวหน้างานเพียงคนเดียวอาจไม่เพียงพอต่อการสะท้อนถึงการทำงานรอบด้านได้ การประเมินแบบ 360 องศา เป็นเครื่องมืออย่างหนึ่งที่ช่วยประเมินการทำงานได้อย่างรอบด้าน และได้การประเมินจากกลุ่มเพื่อนร่วมงานหรือ peers review ด้วยการประเมินแบบ 360 หรือ 360 Degree Feedback นี้ เป็นการประเมินโดยคนรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาหรือลูกน้อง เพื่อนร่วมงาน และหัวหน้างาน เป็นการประเมินที่ให้ความสำคัญกับการประเมินทั้งจากล่างขึ้นบน (upward appraisal) และจากบนลงล่าง (downward appraisal) ซึ่งใช้เป็นที่แพร่หลาย และสามารถใช้วัดองค์ประกอบการปฏิบัติงานที่เกี่ยวกับผู้นำและมนุษยสัมพันธ์ได้ดีด้วย ประโยชน์อื่น ๆ ของการทำแบบประเมิน 360 องศามี ดังนี้
– ได้ทัศนะที่หลากหลายในการประเมินบุคคลมากยิ่งขึ้น
– เปิดโอกาสให้มีการวิพากษ์วิจารณ์เชิงสร้างสรรค์
– ชี้ให้เห็นจุดบกพร่อง และการระบุจุดเด่นของตนอีกด้วย
– สร้างการมีส่วนร่วมระหว่างพนักงานที่ร่วมกิจกรรมในการประเมิน
– สร้างความสัมพันธ์ระหว่างพนักงานกับผู้บังคับบัญชาอีกด้วย ทำให้มีการสื่อสารที่ดี มีความเชื่อมั่นระหว่างกัน
การแจ้งผล คือคุณค่าที่แท้จริงของการประมินแบบ 360 องศา SurveyCan มี บริการวิเคราะห์ผลและจัดทำรายงานเพื่อให้การจัดการงานทางด้านนี้ง่ายและรวดเร็วมากขึ้นได้ โดยเราสามารถที่จะจัดทำเป็นแบบรายงานตัวต่อตัว (Individual Report) หรือแบบรายงานเป็นทีม (Team Report) ได้ตามความต้องการ


โปรแกรมแบบประเมินพนักงาน 360องศา ช่วยเหลือ HR ได้อย่างไรบ้าง
– สร้างแบบประเมินให้เป็นแบบออนไลน์ ไม่จำกัดจำนวนคำถาม (เรามีตัวอย่าง Template คำถามให้เพื่อนำไปปรับให้เข้ากับองค์กร)
– กำหนดเรทคะแนนของคำถามได้ละเอียดมากกว่า 10 เรทคะแนน
– สร้างบัญชีผู้ใช้สำหรับจัดการและดูแลระบบ
– สามารถปรับแต่ง Theme ของระบบให้เป็นไปตามกำหนด (สีพื้นหลัง และใส่โลโก้ )
– มีระบบ email แจ้งเตือนผู้ประเมินกรณียังไม่ตอบแบบประเมิน
– ติดตามสถานะของการประเมิน แบบ Real-Time ในระบบ
– ส่งออกข้อมูลเพื่อการวิเคราะห์ผล
– เพิ่มข้อมูลพนักงานได้เพียงแค่อัพโหลดไฟล์
– จัดการสถานะความสัมพันธ์ของผู้ประเมินได้ด้วยการอัพโหลดไฟล์ หรือจัดการความสัมพันธ์ได้เป็นรายบุคคลได้ด้วย Excel file
– ตั้งค่ากำหนดวันปิดแบบประเมินได้
– สร้าง/จัดการข้อความ email สำหรับ ส่ง email ผ่านระบบได้ไม่จำกัดจำนวนของemail และไม่จำกัดครั้งการส่ง
– ผู้ตอบแบบประเมิน กรณียังตอบแบบประเมินไม่เสร็จสามารถกดปุ่มบันทึกการประเมิน เพื่อสะดวกแก่การกลับมาประเมินต่อจากที่บันทึกได้
- มีกราฟแสดงผลความคืบหน้าของการระเมินได้ แสดงผลแบบ Real-Time

ยังมีฟังก์ชั่นอื่นๆ พร้อมตอบสนองการใช้งานขององค์กรของคุณ
หมายเหตุ: หากต้องการฟังก์ชั่นในแบบฉบับขององค์กรคุณนอกเหนือจากนี้ จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม


ราคาจะคิดเป็น 3 ส่วน รายละเอียดของราคา https://www.surveycan360.com/price.html 
1.ค่าเปิดระบบการใช้งาน 10,000-25,000บาท (จ่ายครั้งเดียว)
2.ค่าบริการคิดตามจำนวนของผู้ถูประเมิน ตามเรทราคาที่ให้ไป (ราคา/ครั้ง/ปี)
3.ค่าจัดทำรูปแบบรายงานนำเสนอผู้บริหาร ราคาจะอยู่ที่ 900+ บาท(ขึ้นอยู่กับความซับซ้อนและเนื้อหาของรายงาน)  / 1 รายงาน

เว็บไซต์ของ SurveyCan360 องศา สามารถดูรายละเอียดประกอบได้ที่เว็บไซต์ www.surveycan360.com


หากต้องการ Demo เพื่อประกอบการตัดสินใจ หรือ ใบเสนอราคาเพื่อประมาณการค่าใช้จ่าย สามารถติดต่อได้ครับ
สามารถติดต่อเพื่อขอรายละเอียดและทดลอง Demo ระบบได้ที่
คุณอรรถพร หล่อล้ำเลิศ

email : attaporn.l@surveycan.com
หรือ โทร 088-848-2101
ตั้งแต่เวลา 09.00-18.00น. 

6/6/57

การเลือกหัวข้อปัญหาวิจัย

การเลือกหัวข้อปัญหาวิจัย

เกณฑ์ที่ใช้พิจารณาในการเลือกหัวข้อปัญหาวิจัย

การเลือกหัวข้อปัญหาวิจัยเป็นจุดเริ่มต้นของการวิจัยที่จะต้องพิจารณาให้รอบคอบ  ผู้วิจัยจะต้องรู้จักเลือกหัวข้อปัญหาที่เหมาะสม   หัวข้อปัญหาวิจัยที่ดีควรจะเป็นปัญหาที่
1.มีความสำคัญ มีคุณค่า  หัวข้อปัญหาที่มีความสำคัญหรือมีคุณค่าต้องมีปัญหาที่จะให้ได้คำตอบหรือผลการวิจัยที่มีประโยชน์ทั้งในแง่ของการได้มาซึ่งความรู้ใหม่เป็นการเพิ่มพูนองค์ความรู้ให้กับศาสตร์นั้นๆ ให้สมบูรณ์ขึ้นและในแง่ของการได้มาซึ่งสารสนเทศที่จะใช้ช่วยตัดสินใจในการดำเนินงานในเรื่องต่างๆ
2.เป็นปัญหาที่จะค้นหาคำตอบได้ด้วยวิธีการวิจัย  คือสามารถจะหาหลักฐานข้อมูลเชิงประจักษ์มาอ้างอิงในการตอบปัญหานั้นได้  ไม่ใช่ปัญหาเชิงค่านิยมหรือเชิงจริยธรรมเช่น ควรให้นักศึกษาสวมเครื่องแบบมาเรียนหรือไม่  ปัญหาลักษณะนี้อาจปรับให้เป็นปัญหาวิจัยได้ว่า  นักศึกษาที่สวมเครื่องแบบมาเรียนจะมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงกว่านักศึกษาที่ไม่สวมเครื่องแบบมาเรียนหรือไม่
3.เป็นปัญหาที่น่าสนใจ  นักวิชาการหรือผู้ปฏิบัติงานในสาขานั้นๆ มีความสนใจใคร่ทราบคำตอบด้วย  หรือเป็นประเด็นที่กำลังถกเถียงกันในหมู่นักวิชาการ ผู้ปฏิบัติงาน หรือ ผู้คนทั่วไปที่ต้องการคำตอบที่แน่ชัดมีหลักฐานมาสนับสนุนของสรุปอย่างชัดเจน
4.เป็นปัญหาที่ไม่ซ้ำซ้อนกับปัญหาที่ผู้อื่นได้เคยวิจัยหาคำตอบไว้แล้ว  การพิจารณาว่าหัวข้อปัญหาวิจัยซ้ำซ้อนกันหรือไม่มักจะมีประเด็นที่ต้องพิจารณา 3 ประเด็นใหญ่ๆ คือ ก) คำถามวิจัยเป็นคำถามเดียวกันหรือไม่  ข) ประชากรที่ศึกษาเป็นกลุ่มเดียวกันหรือไม่  และ ค) วิธีการในการตอบคำถามใช้วิธีการเดียวกันหรือไม่  ถ้าคำตอบต่อคำถามเป็น "ใช่" ทั้ง 3 ประเด็นก็ถือได้ว่าเป็นการวิจัยซ้ำซ้อนเพราะคำตอบที่ได้จะไม่มีอะไรแตกต่างกัน  เนื่องจากการวิจัยเป็นกิจกรรมที่มุ่งแสวงหาความรู้ใหม่ นักวิจัยจึงหลีกเลี่ยงที่จะทำวิจัยในหัวข้อปัญหาที่ได้มีผู้ศึกษาไว้แล้ว
5.ไม่ก่อให้เกิดอันตรายหรือภัยพิบัติต่อผู้วิจัยหรือผู้ให้ข้อมูล
6.เป็นปัญหาที่สามารถจะดำเนินการวิจัยให้สำเร็จลุล่วงไปได้  คือมีลักษณะดังนี้
ก.ขอบเขตของปัญหาจะต้องไม่กว้างจนเกินไป ปัญหาที่มีขอบเขตกว้างขวางอาจทำให้ต้องศึกษาตัวแปรหลายตัว  ต้องเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นจำนวนมาก  ต้องใช้เวลาและงบประมาณในการศึกษาเป็นจำนวนมากอาจทำให้การวิจัยนั้นมีปัญหาอุปสรรคตามมาด้วยอย่างมากมาย
ข.เป็นปัญหาที่ผู้วิจัยมีพื้นความรู้มีความคุ้นเคยเป็นอย่างดี  การที่ผู้วิจัยมีความรู้มีความคุ้นเคยกับเรื่องที่ศึกษาจะทำให้มองเห็นแนวทางในการวิจัยได้ชัดเจน  สามารถกำหนดประเด็นปัญหาได้ชาญฉลาด  เลือกวิธีวิจัยได้อย่างเหมาะสม  สามารถเข้าใจข้อมูลต่างๆ อย่างลึกซึ้งทำให้การตีความข้อมูลเป็นเป็นอย่างถูกต้องน่าเชื่อถือ
ค.มีหลักฐานข้อมูลเพียงพอที่จะตอบปัญหานั้นได้
ง.มีเทคนิควิธี เครื่องมือหรืออุปกรณ์ที่จะนำมาใช้ศึกษาในเรื่องนั้นได้
จ.เหมาะสมกับงบประมาณค่าใช้จ่ายที่ได้รับ การวิจัยเป็นกิจกรรมที่มีค่าใช้จ่ายสูงพอสมควร  นักวิจัยจะต้องพิจารณาว่าหัวข้อเรื่องที่จะทำวิจัยนั้นจะต้องมีค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง อยู่ในวงเงินงบประมาณที่จะได้รับหรือที่มีอยู่หรือไม่ ถ้าค่าใช้จ่ายมีมากกว่างบประมาณก็จะทำให้เป็นปัญหาต่อการทำวิจัย จนทำให้ไม่สามารถดำเนินการวิจัยให้สำเร็จลงได้
ฉ.เหมาะสมกับเวลา  ปัญหาวิจัยควรเป็นปัญหาที่นักวิจัยจะสามารถอุทิศเวลาที่มีอยู่มาศึกษาวิจัยได้ตามสมควร  ถ้าผู้วิจัยมีเวลาที่จะอุทิศให้กับการวิจัยได้น้อยก็ไม่ควรเลือกปัญหาที่ต้องใช้เวลาในการศึกษานานหรือต้องทุ่มเวลาให้มาก  เพราะอาจจะมีปัญหาเรื่องการจัดแบ่งเวลาของผู้วิจัย หรืออาจทำให้การวิจัยนั้นยืดเยื้อหรืออาจไม่สำเร็จได้
ช.นักวิจัยมีความสนใจใคร่รู้คำตอบอย่างแท้จริง เพราะปัญหาที่นักวิจัยไม่ได้สนใจจะทำให้ขาดความกระตือรือร้นที่จะหาคำตอบ อาจทำให้การวิจัยดำเนินไปอย่างเชื่องช้า หรือถ้ามีปัญหาอุปสรรคก็จะเกิดความถ้อถอยได้ง่าย อาจทำให้การวิจัยนั้นไม่สำเร็จได้


บางส่วนของ เอกสารประกอบการสอนวิชาความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการวิจัย
โดย ผศ. ดร. จักรกฤษณ์  สำราญใจ



https://www.facebook.com/surveycan
http://www.surveycan.com/
คุณอรรถพร หล่อล้ำเลิศ
email : attaporn.l@surveycan.com
หรือ โทร 088-848-2101
ตั้งแต่เวลา 09.00-18.00น. 

7/11/56

สำรวจความคิดเห็นของประชาชนที่ออกมาคัดค้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม นี้ ในประเด็น "ทำไมคุณจึงต่อต้าน พ.ร.บ. นิรโทษกรรม?"



ตามที่ได้มีกระแสข่าวการคัดค้านต่อร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม และประชาชนได้มีส่วนร่วมในการแสดงออกทางการเมือง ผ่านทางการออกมาชุมนุม และแสดงออกทาง โซเชียลเป็นจำนวนมาก
ทาง SurveyCan Poll จึงออกมาสำรวจความคิดเห็นของประชาชนที่ออกมาคัดค้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม นี้ ในประเด็น "ทำไมคุณจึงต่อต้าน พ.ร.บ. นิรโทษกรรม?"

คุณสามารถร่วมแสดงความคิดเห็นได้ที่ลิ้งค์ 



คุณอรรถพร หล่อล้ำเลิศ
email : attaporn.l@surveycan.com
หรือ โทร 088-848-2101
ตั้งแต่เวลา 09.00-18.00น. 




7/10/56

ร่วมแสดงความคิดเห็นในประเด็นโครงการก่อสร้างเขื่อนแม่วงก์

ร่วมแสดงความคิดเห็นในประเด็นโครงการก่อสร้างเขื่อนแม่วงก์
จากกรณีโครงการก่อสร้างเขื่อนแม่วงก์ที่เป็นประเด็นร้อนแรงอยู่ในขณะนี้ ได้จัดโครงการการสำรวจความคิดเห็นออนไลน์ของประชาชนขึ้น เพื่อเปิดโอกาสให้ทุกท่านได้ร่วมแสดงความคิดเห็นของตน
เพื่อร่วมเป็นหนึ่งในกระบอกเสียง ให้ความเห็นของท่านสะท้อนสู่สื่อประชาสัมพันธ์ สื่อสังคมออนไลน์และภาครัฐต่อไป

จึงขอความร่วมมือจากท่านกรุณาช่วยตอบแบบสำรวจ ทั้งนี้ต้องขอขอบคุณท่านเป็นอย่างสูง

เข้าร่วมตอบแบบสอบถาม ลิ้งค์ของแบบสอบถาม



30/5/56

วิธี วิเคราะห์ข้ามตัวแปร โดยใช้ excel V. 2013

วิธี วิเคราะห์ข้ามตัวแปร โดยใช้ excel V.2013
หลังจากเราได้ข้อมูลจากทำสำรวจแบบสอบถามออนไลน์แล้ว ให้เราทำการดาวน์โหลด excel ไฟล์ออกมาจากโปรแกรมแบบสอบถามออนไลน์ surveycan

-เปิดโปรแกรม Excel
-ไปที่  Open file เลือกไฟล์ที่ต้องการวิเคราะห์
-หากเป็นไฟล์ CSV ให้ทำตามขั้นตอนตามลิ้งค์นี้
-หลังจากเปิดไฟล์ขึ้นมาให้คุณสร้าง Sheet ขึ้นมาใหม่ (หรือเลือกSheetเปล่า)
-หลังจากนั้นแล้วให้คุณเลือกเมนู INSERT ให้คุณเลือก PivotTable เมื่อมีกล่อง Create PivotTable ให้คุณเปิด Sheet ข้อมูลที่คุณได้มา กด Ctrl+a เพื่อเลือกข้อมูลทั้งหมด แล้วจึกกด OK
-ข้อมูลที่ถูกดึงจาก sheet ข้อมูลก็จะปรากฏอยู่ด้านขวามือ

เริ่มทำการเรียกใช้โดย
-เลือกตำแหน่งที่จะให้ผลการวิเคราะห์แสดง บริเวณที่ต้องการ
-แล้วมาดูที่ช่องทางขวามือ ให้คุณเลือกที่ช่องสี่เหลี่ยมที่หน้าหัวข้อผลการวิเคราะห์ที่คุณต้องการที่จะ "วิเคราะห์ข้ามตัวแปร" หรือสามารถลากลงช่อง Rows หรือ columns ด้านล่างได้เลย
-หลังจากที่เลือกหัวข้อที่จะ วิเคราะห์แล้ว ให้คุณเลือกหัวข้อที่จะให้แสดงผลรวม ลงไปไว้ที่ช่อง Values คุณก็จะเห็นผลการวิเคราะห์ที่คุณเลือกแสดงขึ้นมา

หากมีข้อสงสัยหรือไม่เข้าใจเกี่ยวกับข้อมูลข้างบน
สามารถโทรเข้ามาสอบถามเพิ่มเติมได้หรือติดตามข่าวสารของเราได้ที่
เว็บไซต์ : www.surveycan.com
facebook : www.facebook.com/surveycan
หรือหาอ่านบทความของเราได้ที่ http://blog.surveycan.com

คุณอรรถพร หล่อล้ำเลิศ
email : attaporn.l@surveycan.com
หรือ โทร 088-848-2101
ตั้งแต่เวลา 09.00-18.00น. 








22/5/56

จะมีไหมแบบสอบถามออนไลน์ที่จะสามารถกำหนดเงื่อนไขในการตอบ


จะมีไหมแบบสอบถามออนไลน์ที่จะสามารถกำหนดเงื่อนไขในการตอบ

surveycan เราช่วยให้การสร้างแบบสอบถามของคุณง่ายขึ้น
เพราะเครื่องมือของเราสามารถตั้งเงื่อนไข (logic) กำหนดให้ผู้ตอบแบบสอบถามที่ตอบในเงื่อนไข ข้ามไปตอบอีกข้อ หรืออีกหน้าได้ ด้วยฟังก์ชั่นที่ใช้งานง่าย
ช่วยให้ผู้ตอบสะดวกในการตอบแบบสอบถามไม่สับสนในการตอบคำถามข้ามข้อไปมา และผู้เก็บข้อมูลก็จะได้ข้อมูลที่แม่นยำอีกด้วย

แบบสอบถามดีๆ ให้ใช้ฟรีหาไม่ง่ายนะครับ คุณเข้าไปทดลองใช้หรือยัง
สนใจทดลองใช้ได้ที่ www.surveycan.com
แบบสอบถามออนไลน์